Tag Archives: SL

โคมไฟเพดาน เป็นโคมไฟให้แสงสว่างหลักภายในห้อง มักให้แสงในวงกว้างและสม่ำเสมอ ที่เราเรียกกันว่าให้แสงสว่างทั่วไปค่ะ ดังนั้นมันจึงเป็นโคมไฟชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

 

โคมไฟเพดาน อาจแบ่งได้หลายประเภท มาดูกันดีกว่าค่ะว่ามีประเภทไหนบ้าง และแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันอย่างไร

 

 

โคมไฟเพดาน ดาวน์ไลท์

1. โคมไฟฝังฝ้า หรือโคมไฟดาวน์ไลท์ (downlight)

โคมไฟฝังฝ้าเป็น โคมไฟเพดาน ซึ่งนิยมใช้มากที่สุด เพราะใช้ง่าย สามารถใช้ได้กับทุกห้อง ให้แสงสว่างได้อย่างทั่วถึง จึงมักใช้เป็นแสงสว่างหลักในการจัดแสง มีข้อเสียคือห้องจะสว่างแต่ขาดมิติ และดูเรียบเกินไป สถาปนิกจึงมักใช้ไฟชนิดนี้ร่วมกับไฟประเภทอื่นๆ หรือสร้างลูกเล่นให้กับเพดานห้องเพื่อความสวยงามค่ะ

โคมไฟเพดาน ติดลอย

2. โคมไฟติดลอย

โคมไฟเพดาน ชนิดนี้มีน้ำหนักเบา สามารถยึดติดกับฝ้าเพดานได้โดยไม่ต้องเจาะฝ้าแบบเดียวกับโคมไฟดาวน์ไลท์ อาจติดเพื่อให้แสงสว่างหลัก หรือเน้นเฉพาะจุดเพื่อความสวยงามก็ได้ แล้วแต่ชนิดและขนาดของโคมไฟค่ะ

 โคมไฟเพดาน 32 w

3. โคมไฟเพดาน

โคมไฟเพดาน โคมซาลาเปา หรือ โคม 32w. เป็นโคมไฟอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากค่ะ มีรูปแบบและลวดลายหลากหลาย นิยมติดตั้งในห้องนอน เพราะให้แสงนุ่มนวล ไม่แยงตา

โคมไฟเพดาน ห้อยเดี่ยว

4. โคมไฟแขวน หรือ โคมไฟห้อย

โคมไฟเพดาน ชนิดแขวนหรือห้อย อาจแบ่งได้อีก 2 กลุ่มค่ะ คือ โคมไฟแขวนฝ้า และโคมไฟแขวนคาน

ลักษณะของโคมไฟแขวนฝ้า คือมีน้ำหนักเบา อาจจะเป็นโคมไฟห้อยเดี่ยว หรือโคมไฟชุดเล็กๆ ที่มีน้ำหนักไม่มาก จึงสามารถยึดกับฝ้าเพดานได้เลยค่ะ

ส่วนโคมไฟที่มีน้ำหนักมากอย่างโคมไฟระย้า หรือโคมไฟแชนเดอเลียร์ จำเป็นต้องแขวนกับคาน หรือตัวยึดที่แข็งแรงค่ะ

โคมไฟเพดาน สปอตไลท์

5. โคมไฟสปอตไลท์

โคมไฟเพดาน ชนิดนี้มักใช้กับบ้านสไตล์โมเดิร์น เพราะให้ภาพลักษณ์ของความทันสมัย และยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งานได้หลายรูปแบบ สามารถใช้ให้แสงสว่างทั่วไป หรือเน้นแสงเฉพาะพื้นที่ก็ได้ค่ะ

โคมไฟประเภทนี้อาจแบ่งได้อีก 2 ชนิดค่ะ คือ

1.โคมไฟติดราง (track light) สามารถติดโคมไฟได้หลายดวงบนราง เรียงจัดตำแหน่งของโคมไฟได้ด้วยตัวเอง

2.โคมไฟติดแป้น จะเป็นโคมสปอตไลท์ชนิดดวงเดียว หรือหลายดวงยึดตำแหน่งตายตัวไว้บนแป้นเดียวกัน สามารถหมุนองศาหน้าไฟได้ ใช้ยึดกับฝ้าเพดานได้โดยไม่ต้องใช้รางค่ะ

รู้แบบนี้แล้วพอจะช่วยให้เลือก โคมไฟเพดาน ที่เหมาะกับห้องของคุณได้บ้างไหมคะ :)

ในที่สุดได้ดาวน์ไลท์มาใช้สมใจอยาก เปิดห้องเข้ามาไม่ว่าใครก็ชื่นชมกับแสงไฟสุดสวยในบ้าน แต่พอนั่งในห้องนานเข้าหน่อยก็ชักจะรู้สึกปวดหัว แสบตา อย่างหาสาเหตุไม่ได้

หรือห้องนี้อาจจะมีพลังงานบางอย่างสิงสถิตย์อยู่?

เจ้าพลังงานบางอย่างนั้นอาจจะเป็นพลังงานแสงสว่างนี่ล่ะค่ะ ถ้าหากเงยหน้ามาหน่อยก็เจอแสงจิ้มตาตลอดเวลา ก็เหมือนกับเรายืนกลางแดด อยู่นานเข้าใครจะไม่เวียนหัว ขืนเป็นแบบนี้จะให้ห้องสวยสุดจิตสุดใจแค่ไหนก็เห็นทีต้องยอมแพ้ อพยพข้าวของหนีไปห้องอื่นไวพอๆ กับหนีผี

ถ้าอย่างนั้นต้องยอมถอดใจจาก ดาวน์ไลท์ แล้วสินะ…

 

อย่าเพิ่งยอมแพ้ค่ะ สำหรับปัญหานี้เรายังมีวิธีแก้อยู่

5 วิธีแก้ปัญหา ดาวน์ไลท์ แยงตาที่คุณก็ทำได้

ดาวน์ไลท์

ดาวน์ไลท์แบบมีกระจกปิด

1. เลือกใช้ ดาวน์ไลท์ ที่มีกระจกกรองแสง

ดาวน์ไลท์ ที่เห็นได้ทั่วไป มักจะเป็นแบบหน้าเปิดค่ะ ซึ่งหากแสงจ้าเกินไป เราอาจจะเลือกใช้ ดาวน์ไลท์ ที่มีกระจกปิดด้านหน้า เพื่อลดความสว่างจากหลอดไฟได้ค่ะ

 

 

ดาวน์ไลท์

รีเฟลกซ์ของโคมไฟ ดาวน์ไลท์ แบบต่างๆ ค่ะ

2. เปลี่ยนรีเฟลก (reflect) หรือตัวสะท้อนแสง

ดาวน์ไลท์ จะมีส่วนของรีเฟลกหลายแบบค่ะ หากเราเลือกติดตั้งรีเฟลกซึ่งมีลักษณะเงา จะช่วยกระจายแสงได้ดี เพิ่มความสว่างให้ห้องได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าแสงจัดจ้าเกินไปก็เปลี่ยนมาใช้รีเฟลกผิวทรายแทนค่ะ

 

 

3. ดิมเมอร์ หรืออุปกรณ์หรี่แสง

จะแสงมากหรือแสงน้อยก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปถ้าคุณติดตั้งดิมเมอร์ไว้ควบคุมแสง อยากได้แสงมากก็เพิ่ม อยากได้แสงน้อยก็ลด แค่นี้ก็หมดปัญหาแสง ดาวน์ไลท์ แยงตาแล้วค่ะ

4. เปลี่ยนหลอดไฟเป็นแสง warm

แสงสีเหลืองนวล (จนออกส้ม) จะช่วยให้ห้องดูสบายตาและเหมาะกับการพักผ่อนมากขึ้นค่ะ ซึ่งหลอดไฟแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นอาจจะให้แสงแตกต่างกัน หากไม่สามารถทดลองแสงของหลอดไฟก่อนซื้อได้ ก็มีวิธีเลือกแสงที่ต้องการได้โดยสังเกตจากค่า color temperature ซึ่งจะมีหน่วยเป็น xxxx K ค่ะ บางยี่ห้อจะมีบอกค่านี้ไว้ที่กล่องค่ะ

แก้แสงแยงตาของ-ดาวนไลท์-

credit : www.energystar.gov

5. เปลี่ยนหลอดไฟ

ไม่ใช่แค่เรื่องแสง แต่จำนวน watt ของหลอดก็มีผลค่ะ โดยเฉพาะถ้าหลอดไฟที่ติดตั้งยาวกว่า ดาวน์ไลท์ ออกมา ตัวนี้จะทำใ้ห้แสงแยงตาแน่นอน ลดจำนวนวัตต์ของหลอดไฟลงให้เหมาะกับการใช้งานก็จะแก้ปัญหานี้ได้แล้วค่ะ

 

เพียงแค่นี้เรื่องแสงจ้าจนเกินไปของโคมไฟ ดาวน์ไลท์ ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ

โคมไฟระย้า

โคมไฟระย้า หนึ่งในไอเท็มตกแต่งบ้านในฝันของใครหลาย ๆ คน ด้วยเสน่ห์ของแสงจากดวงไฟที่สะท้อนบนแก้วคริสตัลสุดแวววาวนั้นงดงามจนใครต่อใครต้องหลงใหล บวกกับความเป็นประกายสุกสว่างทั้งยามปิดและเปิดไฟ ก็ทำให้โคมไฟระย้าถูกจัดเป็นของตกแต่งเสริมฮวงจุ้ยในบ้านอีกด้วย

เมื่อก่อนเราอาจจะได้เห็นโคมไฟระย้า เฉพาะตามโรงแรมหรือรีสอร์ทขนาดใหญ่เอามาใช้ประดับห้องโถงต้อนรับเพื่อดึงดูดสายตาลูกค้า จัดเป็นสินค้าราคาแพงที่ได้แต่ฝันจริงๆ แต่ในปัจจุบันโคมไฟชนิดนี้ได้ถูกปรับให้มีหลายขนาด หลายดีไซน์ และหลายวัสดุ ทำให้ราคาไม่แพงจนยากเอื้อมถึงอีกต่อไป จะใช้ตกแต่งห้องรับแขก ห้องอาหาร โถงบันได หรือแม้แต่ในห้องน้ำก็ยังได้

พูดไปแล้วจะหาว่าโม้ แอดมินจึงไปเก็บรูปห้องที่ใช้ โคมไฟระย้า ตกแต่งมาให้ชมกันค่ะ

โคมไฟระย้า

โคมไฟระย้า อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เก๋

โคมไฟระย้า

จะห้องไหน สีอะไรก็ไม่มีปัญหา โคมไฟระย้า เจิดจ้าอยู่แล้ว

โคมไฟระย้า

ติดโคมไฟระย้าสักช่อ โถงบันไดก็หรูขึ้นทันตา

โคมไฟระย้า

โคมไฟระย้า ชุดเล็กเหนือเตียงนอน บรรยากาศห้องก็เปลี่ยนไป

โคมไฟระย้า

โคมไฟระย้า ประดับในห้องอาหาร

โคมไฟระย้า

ห้องน้ำเรียบๆ ดูเปลี่ยนไปเมื่อมี โคมไฟ สักดวง

     ถ้านั่งดูๆ ไปแล้วเริ่มหวั่นไหว อยากได้ โคมไฟระย้า มาประดับบ้านบ้างล่ะก็

อย่าลืมแวะมาดูที่ SL Lighting นะคะ

ปล. ไม่ได้โฆษณาแอบแฝงเลยจริงๆ นะเนี่ย อิอิ

 

จากที่เคยคุยกันเรื่อง IP code ในครั้งก่อน

IP คืออะไรเราคงได้ทราบกันไปบ้างคร่าวๆ แล้ว คราวนี้เรากันในระดับลึกมากขึ้นดีกว่าค่ะ หากเราเข้าใจถึงความหมายของตัวเลขบนโค้ดนี้ก็จะมีประโยชน์ในการเลือกซื้อสินค้าให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราอย่างมากค่ะ

IP

มาเริ่มกันที่หลักแรก ค่าการป้องกันวัตถุกันก่อนเล้ย

 

IP code, solid particle

ความหมายของการป้องกันวัตถุไม่ซับซ้อนค่ะ เข้าใจไ้ด้ง่ายๆ ดังนี้

หมายเลข 0  หมายถึงไม่มีการป้องกันอะไรเลย

หมายเลข 1 หมายถึง สามารถป้องกันวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 มม. ได้ อาทิ ศอก มือ

หมายเลข 2 หมายถึง สามารถป้องกันวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 12 มม. ได้ อาทิ นิ้วมือ

หมายเลข 3 หมายถึง สามารถป้องกันวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 มม. ได้ อาทิ ไม้เสียบลูกชิ้น

หมายเลข 4 หมายถึง สามารถป้องกันวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 มม. ได้ อาทิ เส้นลวด

หมายเลข 5 หมายถึง สามารถป้องกันฝุ่นได้

หมายเลข 6 หมายถึง สามารถป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์

 

ในส่วนของตัวเลขหลักที่สอง มีความหมายดังนี้ค่ะ

 IP code, liquid ingress protection

 เลขตัวหลังของค่า IP มีความหมายดังนี้ค่ะ

หมายเลข 0  หมายถึง ไม่มีการป้องกันอะไรเลย

หมายเลข 1 หมายถึง สามารถป้องกันน้ำที่ตกลงมาในแนวดิ่งได้

หมายเลข 2 หมายถึง สามารถป้องกันน้ำที่สาดในมุม 15 องศาจากปกติได้

หมายเลข 3 หมายถึง สามารถป้องกันน้ำที่สาดในมุม 60 องศาจากปกติได้

หมายเลข 4 หมายถึง สามารถป้องกันน้ำละอองน้ำจากทุกทิศทาง

หมายเลข 5 หมายถึง สามารถป้องกันน้ำจากหัวฉีดขนาด 6.3 มม. ได้

หมายเลข 6 หมายถึง สามารถป้องกันน้ำจากหัวฉีดขนาด 12.5 มม. ได้

หมายเลข 7 หมายถึง สามารถอยู่ใต้น้ำในระดับความลึกไม่เกิน 1 เมตรได้

หมายเลข 8 หมายถึง สามารถอยู่ใต้น้ำได้มากกว่า 1 เมตร (มากเท่าไหร่แล้วแต่ผู้ผลิตจะทำการทดสอบนะคะ)

สำหรับข้อมูลโดยละเอียดสามารถอ่านได้จากวิกิพีเดียค่ะ

 

เชื่อขนมกินได้เลยว่า หากพูดถึงคำว่า IP ขึ้นมาลอยๆ คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงค่า IP adress ของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นแน่ แต่วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับอีก IP หนึ่งที่จะปรากฏอยู่บนผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ากันค่ะ

IP (Ingress Protection Rating)

บางครั้งก็เรียกว่า International Protection Rating ค่ะ ซึ่งค่านี้อาจจะปรากฏและถูกชี้เน้นความสำคัญในผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองว่าสามารถป้องกันน้ำได้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาข้อมือ กล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายนอกอาคารอย่างโคมไฟของเราด้วยค่ะ :D

ค่า IP ที่มักพบเห็นในคำโฆษณาได้บ่อยคือค่า IP 67 ที่มีความหมายว่าสามารถป้องกันฝุ่นและป้องกันน้ำได้(ในระดับทดสอบ)นั่นเอง

แล้วเลขตัวไหนบอกอะไรล่ะ??

IP

IP หรือ Ingress Protection Rating

สำหรับค่า IP นี้มีหลักการดูง่ายมากค่ะ คือ เลขยิ่งมากการป้องกันยิ่งดี

สำหรับตัวเลขหลักแรกจะหมายถึงความสามารถในการป้องกันวัตถุที่เป็นของแข็งค่ะ มีระดับตั้งแต่ 0 – 6

ส่วนตัวเลขหลักที่สองจะหมายถึงความสามารถในการป้องกันของเหลวค่ะ มีระดับตั้งแต่ 0 – 8

ดังนั้นหากผลิตภัณฑ์ที่คุณกำลังจะเลือกซื้อมีค่า IP ระบุอยู่ ก็จะทำให้เราสามารถรู้ข้อจำกัดในการใช้งาน หากเป็นโคมไฟก็ทำให้รู้ว่าจะติดตั้งไว้ตรงไหน หรือใช้อย่างไรจึงจะปลอดภัยค่ะ

สำหรับรายละเอียดว่าตัวเลขไหนมีความหมายอย่างไร ถ้าอยากทราบต้องรอติดตามในโพสถัดไปนะคะ

IP link

สวัสดีค่ะ วันนี้แอดมินมาไขข้อข้องใจให้กับหลาย ๆ ท่านที่โทร. เข้ามาถามกันบ่อยเหลือเกินว่า เอ๊~ อยากจะหา โคมไฟ รุ่นนั้นรุ่นนี้ ทำไมหาไม่เจอเลยสักที

ก็แหม โคมไฟ ของ SL มีตั้ง 700 กว่ารายการนี่คะ หากันเหนื่อยแย่เลยเนอะ

ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับรหัสลับ โคมไฟ ของแสงสุวรรณกันดีกว่าค่ะ

สินค้าของเราทุกรายการจะมีรหัสซึ่งใช้แทนชื่อ โคมไฟ ค่ะ เนื่องจาก โคมไฟ บางตัวอาจมีหน้าตาคล้ายกัน เมื่อสนใจจะสอบถามรายละเอียดสินค้า หรือสั่งซื้อ โคมไฟ รุ่นใด การบอกรหัสให้กับเราจะช่วยทำให้การสั่งซื้อสินค้าผิดพลาดลดลงได้ค่ะ

 

 

ค้นหา โคมไฟ ง่ายทันใจ แค่รู้จักรหัสสินค้า

ค้นหา โคมไฟ ง่ายทันใจ แค่รู้จักรหัสสินค้า

 

 

  • สำหรับรหัสแรกคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ SL ก็คือโลโก้ของบริษัทน่ะเองค่ะ
  • รหัสตัวที่สองที่แสดงถึงกลุ่มสินค้านี้จะซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เราจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ ดังนี้ค่ะ

1. โคมห้อยช่อ (Chandelier)

2. โคมห้อยเดี่ยว

3. โคมเพดาน

4. โคมเพดาน 32 w

5. โคมไฟ กิ่ง / โคมติดผนังในบ้าน

6. โคมฝัง downlight

7. โคมสปอร์ตไลท์ฮาโลเจ่น บางคนก็เรียกว่า Track Light ค่ะ

8. โคมไฟ ตั้งโต๊ะ, โคมไฟ ตั้งพื้น

9. หลอดไฟ / หม้อแปลง

10. โคมผนังนอกบ้าน

11. โคมหัวเสาสนามนอกบ้าน (Post Lamp)

12. โคมปักดิน

13. โคมฝังพื้นทางเดิน (Ground Lamp)

14. โคมไฟ ใต้น้ำ (Under Water Lamp)

  •  ส่วนรหัสตัวถัดมาเป็นตัวแสดงสีค่ะ หาก โคมไฟ รุ่นไหนมีหลายสีก็จะมีรหัสตัวนี้ด้วยค่ะ โดยมากแล้วสีหลักๆ ของเราจะเป็น SW (สีขาว), SN (สีเงิน) และ B (สีดำ) ค่ะ
  • G รหัสนี้จะพบได้เฉพาะใน โคมไฟ กลุ่มดาวน์ไลท์เท่านั้นค่ะ เ็ป็นสารลับบอกให้เรารู้ว่า โคมไฟ รุ่นนี้มีกระจกปิดหน้านั่นเอง
  • ตัวเลขถัดจากนั้นจะเป็นรหัสแสดงชนิดสินค้าค่ะ
  • ส่วนเลขหรืออักษรห้อยท้ายหลังจากรหัส โคมไฟ ก็จะแสดงถึงลวดลายของรีเฟลกซ์ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความชอบค่ะ

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น! ทดลองค้นหาสินค้ากันได้ที่ เว็บไซต์ ของเราเลยค่ะ